คิดแบบบวก
คิดแบบบวกๆ
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์
ถึงพี่ประภาส วันนี้อาจารย์สอนเรื่องความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็พูดยกตัวอย่างให้ฟังหลายตัวอย่าง อาจารย์บอกว่าความคิดแปลกๆ ที่ก่อให้เกิดผลเสียหาย ไม่เรียกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าความคิดไหนสร้างสรรค์ เพราะตอนเราคิดเราก็ไม่รู้นี่ว่ามันมีผลเสียหายหรือเปล่า
อยากจะถามพี่ประภาสว่าแล้วความคิดสร้างสรรค์กับความคิดเชิงบวกเป็นความคิดแบบเดียวกันหรือไม่ อาจารย์ยกตัวอย่างงานของพี่ประภาสด้วยว่าเป็นลักษณะของความคิดเชิงบวก หนามเตย เรียนพี่ประภาส ผมเคยอ่านเจอในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เรื่องถูก ที่ดีที่สุดต้องมองโลกในแง่จริง ในบทความนั้นยังพูดด้วยว่าการมองโลกในแง่บวกเกินไปทำให้ไม่เห็นความจริงของโลก
อยากถามพี่ประภาสว่า ถ้าการมองโลกในแง่บวก คือการมองโลกโดยละเลยความจริง เราก็ไม่ควรมองโลกแบบนั้นจริงมั้ย แฟนพันธุ์แท้พี่ประภาส พี่ประภาส เพื่อนฝากมาถามสั้นๆ ค่ะ คิดบวก คือการคิดเข้าข้างตัวเองใช่หรือไม่
ยุ้ย พระเอกของเรื่องวันนี้ชื่อ นายชาติ เขามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อวัลลภ สองคนเข้าหุ้นเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร้านหนึ่งด้วยกัน ชื่อจริงๆ ว่าชาตินั้น ที่ถูกต้องเขียนว่า ชาด เพราะชื่อในบัตรประชาชนเขียนว่า กาชาด แม่ตั้งชื่อเขาแปลกๆ อย่างนี้เพราะแม่มีใจชอบในเครื่องหมายกาชาดที่เป็นเครื่องหมายบวกเป็นพิเศษ และอยากให้ชีวิตของลูกเป็นบวกตามความหมายของสัญลักษณ์นี้ ส่วนหุ้นส่วนของเขา ใครๆ ก็เรียกสั้นๆ ว่า ลบ แทนชื่อจริง ดังนั้นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร้านนี้จึงตั้งชื่อว่า บวกลบพานิชย์ ตามชื่อของเจ้าของสองคน อีกทั้งยังมีความหมายไปถึงขั้วบวกขั้วลบของไฟฟ้า ซึ่งก็ตรงความหมายกับของที่ขายอยู่
กิจการดำเนินไปด้วยดี จนวันหนึ่ง พัดลมเครื่องหนึ่งที่วางขายอยู่ในร้านเกิดหายไป โดยบันทึกสมุดในบัญชีก็ไม่แจ้งไว้ เจ้าลบไม่รอช้าเดินมาถามตรงๆ กับหุ้นส่วนของเขาทันทีว่า ลูกจ้างของเราที่มีอยู่คนเดียวนั้นขโมยไปหรือเปล่า แต่แล้วเขาก็ยั้งปากไว้ ไม่ปรักปรำลูกน้องต่อ พลันก็พูดว่าหรือว่าเราขายไปแล้วแต่ลืมจดรายการลงในสมุดขาย แต่ใครเล่าที่เป็นคนขายแล้วลืมจด
ชาดเลยบอกหุ้นส่วนของเขาว่า เมื่อวานเห็นคนมาเข้าร้านเยอะแยะ ของอาจจะหายตอนไหนก็ได้ เราไปเปิดวิดีโอวงจรปิดที่ตั้งกล้องถ่ายไว้ในร้านดูกันไหม ในวิดีโอเทปที่ถ่ายภาพไว้ เห็นได้ชัดเลยครับว่าเจ้าลูกจ้างคนเดียวของร้าน กำลังถือพัดลมอยู่ปะปนในกลุ่มลูกค้า แต่เนื่องจากผู้คนที่เดินไปมาเต็มร้าน จึงมองเห็นไม่ชัดนักว่าเขาถือพัดลมเดินไปไหน หรือถือยืนอยู่เฉยๆ "หรือว่ามันยกไปส่งลูกค้า" ชาดดึงมือเจ้าวัลลภไว้ก่อนที่มันจะวิ่งขึ้นบันไดไปเล่นงานลูกน้องที่นอนพักอยู่ชั้นบน "มันเพิ่งมานอนค้างร้านเป็นวันแรกนี่ กินบนเรือนขึ้รดบนหลังคาอย่างนี้ เลี้ยงไว้ไม่ได้" นายลบพยายามสะบัดมือชาด "คนเราถ้ามันจะขโมยแล้วละก็ มันไม่มานอนให้เราจับอย่างนี้หรอก" ชาดจับมือเพื่อนไว้แน่น เพราะกลัวจะสะบัดมือหลุด “บางทีเขาอาจจะกำลังยกพัดลมขึ้นมาทำความสะอาด หรือไม่ก็ยกขึ้นจัดข้าวของในร้านให้เป็นระเบียบก็ได้" ..............................................พักเหตุการณ์ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วมาดูว่ามันมีความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นตรงไหนบ้างในนิทานเรื่องนี้
การตั้งชื่อร้านเป็นอย่างไรครับ เท่หยอกอยู่เมื่อไร เรียกได้ว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่งนะครับได้ทั้งความหมายของกิจการได้ทั้งความหมายของเจ้าของ ถ้าจะถามว่าความคิดสร้างสรรค์แบบนี้ถือเป็นการคิดแบบคิดบวกไหม ก็คงต้องบอกว่าไม่น่าจะถึงขนาดนั้น เพราะมันก็เป็นเพียงชื่อ ไม่มีผลอะไรในเชิงตัวเลขอย่างชัดเจนนัก แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับการตั้งชื่อลูกนั่นละครับ ชื่อที่มีที่มาจากชื่อพ่อหรือชื่อแม่นี่ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้นนะครับ ถึงจะไม่บวกเป็นรูปธรรมขึ้นมา แต่ผมว่ามันก็บวกอยู่ในใจทั้งพ่อแม่และลูก
คุณหนามเตยคงน่าจะพอได้คำตอบนะครับเรื่องคิดบวกกับคิดสร้างสรรค์ ทีนี้ก็มาถึงประโยคแรกที่นายลบคิดว่าลูกจ้างขโมยของไป อันนี้เริ่มต้นก็คิดลบก่อนเลย แต่ไม่เสียหายอะไรหรอกครับ เพราะเป็นแค่การสงสัย เพราะประโยคต่อมาของเขาก็บวกเข้าไปอีกหน่อยว่า "หรือขายแล้วลืมลงบัญชี" บวกขึ้นมาอีกนิด แม้จะยังไม่ถึงศูนย์ แต่ก็ยังดี จริงไหมครับ ที่ยังคิดเผื่อ
แต่หลังจากดูภาพของกล้องวงจรปิดแล้วสิครับ นายชาดกับนายลบตีความการนอนค้างที่ร้านของลูกจ้างต่างกันคนละขั้วจริงๆ คนหนึ่งมองว่าลูกจ้างขี้รดบนหลังคาแล้วยังมากินบนเรือน ส่วนอีกคนกลับมองว่าลองกล้านอนบนเรือนอย่างนี้แล้วจะไปขี้รดบนหลังคาได้อย่างไร ตอบคุณยุ้ยตรงนี้ได้เลยว่า ที่นายชาดมองบวกในเรื่องนี้ เขาไม่ได้มองเข้าข้างตัวเองตรงไหนเลยนะครับ เขาเข้าข้างลูกจ้างของเขาถ่ายเดียว แล้วถามว่าการมองต่างกันในประเด็นนี้ของทั้งสองคนก่อให้เกิดผลอะไรบ้าง จินตนาการได้ร้อยแปดครับ นายลบขึ้นไปทำร้ายลูกจ้าง ลูกจ้างเลยทำร้ายกลับ หรือลูกจ้างผูกใจเจ็บกลับมาขโมยของจนหมดร้าน ก็แล้วจะจินตนาการละครับ
แล้วถามว่า ถ้าเกิดลูกจ้างขโมยจริงๆ ละ ผมก็คงต้องถามกลับว่าปรักปรำขนาดนี้ หลักฐานพอไหม (การมองลบของนายลบไม่ใช่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว การสงสัย และป้องกันไว้น่าจะเป็นเรื่องดี)
ส่วนคำถามของคุณแฟนพันธุ์แท้ฯ ที่ถามว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นคือการมองอย่างละเลยความจริงหรือเปล่า คงต้องฝากหาคำตอบด้วยตัวเองว่า กรณีนี้นายชาดละเลยความจริงหรือเปล่า
แล้วความจริงคืออะไร ในขณะที่กล้องที่ถ่ายได้ก็ถ่ายได้แค่ภาพลูกจ้างยกพัดลม ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพัดลมตัวนั้นจริงๆ ตอนที่ภาพถ่ายไม่เห็น ในความคิดผม ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้ครับ
อยู่ตรงที่เมื่อไม่เราสามารถหาความจริงได้ว่าพัดลมตัวนั้นหายไปไหน เราจะคิดจะมองเรื่องนี้อย่างไร
ฟังภาคสองของนิทานเรื่องนี้ต่อดูครับ บางทีคุณแฟนพันธุ์แท้ฯ อาจจะได้คำตอบ
หลังจากนั้นอีกปีหนึ่ง นายลบกับนายชาดก็แยกร้านกัน ทั้งสองเปิดเป็นร้านตัวแทนจำหน่ายแอร์คอนดิชั่นร้านหนึ่งชื่อวัลลภคลายร้อน อีกร้านหนึ่งชื่อ กาชาดชุ่มฉ่ำ (ความคิดสร้างสรรค์อาจจะน้อยกว่าชื่อร้านเมื่อครั้งที่ร่วมหุ้นกันเล็กน้อย) ทั้งสองร้านขายแอร์ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน และมีฝีมือการติดตั้งเหมือนกัน
จะมีต่างกันก็แต่ใบเรียกเก็บเงินของทั้งสองร้าน ลองดูการมองโลกของทั้งสองคนสิครับ
ร้านวัลลภคลายร้อน เขียนว่า ราคาแอร์พร้อมติดตั้ง ราคายืนไว้ ณ วันวางบิล 30,000 บาทถ้วน แต่ถ้าชำระเงินข้ามเดือนไป ต้องคิดเพิ่ม 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 31,500 บาท
ร้านกาชาดชุ่มฉ่ำ เขียนไว้ว่า ราคาแอร์พร้อมติดตั้ง ราคายืนไว้ ณ วันวางบิล 31,500 บาท แต่หากชำระภายในเดือนนี้ ทางร้านจะลดให้ทันที 1,500 บาท เหลือเพียง 30,000 บาท
ใครจะตอบผมได้ว่าความจริงคืออะไร การได้รับเงิน 30,000 บาทนั้นคือความจริงใช่ไหม
ไม่ว่าคำตอบของท่านผู้อ่านแต่ละคนจะออกมาเป็นอย่างไร ผมขอเคารพความคิดไว้แค่นั้นครับ ไม่ขอต่อความยาวสาวความยืด แต่เชื่อผมอย่างหนึ่งเถอะว่า ร้านกาชาดชุ่มฉ่ำนั้นจะเก็บเงินลูกค้าได้ก่อน และครบทุกรายอย่างแน่นอน ประภาส ชลศรานนท์
คอลัมน์ คุยกับประภาส โดย ประภาส ชลศรานนท์
ถึงพี่ประภาส วันนี้อาจารย์สอนเรื่องความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็พูดยกตัวอย่างให้ฟังหลายตัวอย่าง อาจารย์บอกว่าความคิดแปลกๆ ที่ก่อให้เกิดผลเสียหาย ไม่เรียกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าความคิดไหนสร้างสรรค์ เพราะตอนเราคิดเราก็ไม่รู้นี่ว่ามันมีผลเสียหายหรือเปล่า
อยากจะถามพี่ประภาสว่าแล้วความคิดสร้างสรรค์กับความคิดเชิงบวกเป็นความคิดแบบเดียวกันหรือไม่ อาจารย์ยกตัวอย่างงานของพี่ประภาสด้วยว่าเป็นลักษณะของความคิดเชิงบวก หนามเตย เรียนพี่ประภาส ผมเคยอ่านเจอในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เรื่องถูก ที่ดีที่สุดต้องมองโลกในแง่จริง ในบทความนั้นยังพูดด้วยว่าการมองโลกในแง่บวกเกินไปทำให้ไม่เห็นความจริงของโลก
อยากถามพี่ประภาสว่า ถ้าการมองโลกในแง่บวก คือการมองโลกโดยละเลยความจริง เราก็ไม่ควรมองโลกแบบนั้นจริงมั้ย แฟนพันธุ์แท้พี่ประภาส พี่ประภาส เพื่อนฝากมาถามสั้นๆ ค่ะ คิดบวก คือการคิดเข้าข้างตัวเองใช่หรือไม่
ยุ้ย พระเอกของเรื่องวันนี้ชื่อ นายชาติ เขามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อวัลลภ สองคนเข้าหุ้นเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร้านหนึ่งด้วยกัน ชื่อจริงๆ ว่าชาตินั้น ที่ถูกต้องเขียนว่า ชาด เพราะชื่อในบัตรประชาชนเขียนว่า กาชาด แม่ตั้งชื่อเขาแปลกๆ อย่างนี้เพราะแม่มีใจชอบในเครื่องหมายกาชาดที่เป็นเครื่องหมายบวกเป็นพิเศษ และอยากให้ชีวิตของลูกเป็นบวกตามความหมายของสัญลักษณ์นี้ ส่วนหุ้นส่วนของเขา ใครๆ ก็เรียกสั้นๆ ว่า ลบ แทนชื่อจริง ดังนั้นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร้านนี้จึงตั้งชื่อว่า บวกลบพานิชย์ ตามชื่อของเจ้าของสองคน อีกทั้งยังมีความหมายไปถึงขั้วบวกขั้วลบของไฟฟ้า ซึ่งก็ตรงความหมายกับของที่ขายอยู่
กิจการดำเนินไปด้วยดี จนวันหนึ่ง พัดลมเครื่องหนึ่งที่วางขายอยู่ในร้านเกิดหายไป โดยบันทึกสมุดในบัญชีก็ไม่แจ้งไว้ เจ้าลบไม่รอช้าเดินมาถามตรงๆ กับหุ้นส่วนของเขาทันทีว่า ลูกจ้างของเราที่มีอยู่คนเดียวนั้นขโมยไปหรือเปล่า แต่แล้วเขาก็ยั้งปากไว้ ไม่ปรักปรำลูกน้องต่อ พลันก็พูดว่าหรือว่าเราขายไปแล้วแต่ลืมจดรายการลงในสมุดขาย แต่ใครเล่าที่เป็นคนขายแล้วลืมจด
ชาดเลยบอกหุ้นส่วนของเขาว่า เมื่อวานเห็นคนมาเข้าร้านเยอะแยะ ของอาจจะหายตอนไหนก็ได้ เราไปเปิดวิดีโอวงจรปิดที่ตั้งกล้องถ่ายไว้ในร้านดูกันไหม ในวิดีโอเทปที่ถ่ายภาพไว้ เห็นได้ชัดเลยครับว่าเจ้าลูกจ้างคนเดียวของร้าน กำลังถือพัดลมอยู่ปะปนในกลุ่มลูกค้า แต่เนื่องจากผู้คนที่เดินไปมาเต็มร้าน จึงมองเห็นไม่ชัดนักว่าเขาถือพัดลมเดินไปไหน หรือถือยืนอยู่เฉยๆ "หรือว่ามันยกไปส่งลูกค้า" ชาดดึงมือเจ้าวัลลภไว้ก่อนที่มันจะวิ่งขึ้นบันไดไปเล่นงานลูกน้องที่นอนพักอยู่ชั้นบน "มันเพิ่งมานอนค้างร้านเป็นวันแรกนี่ กินบนเรือนขึ้รดบนหลังคาอย่างนี้ เลี้ยงไว้ไม่ได้" นายลบพยายามสะบัดมือชาด "คนเราถ้ามันจะขโมยแล้วละก็ มันไม่มานอนให้เราจับอย่างนี้หรอก" ชาดจับมือเพื่อนไว้แน่น เพราะกลัวจะสะบัดมือหลุด “บางทีเขาอาจจะกำลังยกพัดลมขึ้นมาทำความสะอาด หรือไม่ก็ยกขึ้นจัดข้าวของในร้านให้เป็นระเบียบก็ได้" ..............................................พักเหตุการณ์ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วมาดูว่ามันมีความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นตรงไหนบ้างในนิทานเรื่องนี้
การตั้งชื่อร้านเป็นอย่างไรครับ เท่หยอกอยู่เมื่อไร เรียกได้ว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่งนะครับได้ทั้งความหมายของกิจการได้ทั้งความหมายของเจ้าของ ถ้าจะถามว่าความคิดสร้างสรรค์แบบนี้ถือเป็นการคิดแบบคิดบวกไหม ก็คงต้องบอกว่าไม่น่าจะถึงขนาดนั้น เพราะมันก็เป็นเพียงชื่อ ไม่มีผลอะไรในเชิงตัวเลขอย่างชัดเจนนัก แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับการตั้งชื่อลูกนั่นละครับ ชื่อที่มีที่มาจากชื่อพ่อหรือชื่อแม่นี่ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้นนะครับ ถึงจะไม่บวกเป็นรูปธรรมขึ้นมา แต่ผมว่ามันก็บวกอยู่ในใจทั้งพ่อแม่และลูก
คุณหนามเตยคงน่าจะพอได้คำตอบนะครับเรื่องคิดบวกกับคิดสร้างสรรค์ ทีนี้ก็มาถึงประโยคแรกที่นายลบคิดว่าลูกจ้างขโมยของไป อันนี้เริ่มต้นก็คิดลบก่อนเลย แต่ไม่เสียหายอะไรหรอกครับ เพราะเป็นแค่การสงสัย เพราะประโยคต่อมาของเขาก็บวกเข้าไปอีกหน่อยว่า "หรือขายแล้วลืมลงบัญชี" บวกขึ้นมาอีกนิด แม้จะยังไม่ถึงศูนย์ แต่ก็ยังดี จริงไหมครับ ที่ยังคิดเผื่อ
แต่หลังจากดูภาพของกล้องวงจรปิดแล้วสิครับ นายชาดกับนายลบตีความการนอนค้างที่ร้านของลูกจ้างต่างกันคนละขั้วจริงๆ คนหนึ่งมองว่าลูกจ้างขี้รดบนหลังคาแล้วยังมากินบนเรือน ส่วนอีกคนกลับมองว่าลองกล้านอนบนเรือนอย่างนี้แล้วจะไปขี้รดบนหลังคาได้อย่างไร ตอบคุณยุ้ยตรงนี้ได้เลยว่า ที่นายชาดมองบวกในเรื่องนี้ เขาไม่ได้มองเข้าข้างตัวเองตรงไหนเลยนะครับ เขาเข้าข้างลูกจ้างของเขาถ่ายเดียว แล้วถามว่าการมองต่างกันในประเด็นนี้ของทั้งสองคนก่อให้เกิดผลอะไรบ้าง จินตนาการได้ร้อยแปดครับ นายลบขึ้นไปทำร้ายลูกจ้าง ลูกจ้างเลยทำร้ายกลับ หรือลูกจ้างผูกใจเจ็บกลับมาขโมยของจนหมดร้าน ก็แล้วจะจินตนาการละครับ
แล้วถามว่า ถ้าเกิดลูกจ้างขโมยจริงๆ ละ ผมก็คงต้องถามกลับว่าปรักปรำขนาดนี้ หลักฐานพอไหม (การมองลบของนายลบไม่ใช่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว การสงสัย และป้องกันไว้น่าจะเป็นเรื่องดี)
ส่วนคำถามของคุณแฟนพันธุ์แท้ฯ ที่ถามว่าการมองโลกในแง่ดีนั้นคือการมองอย่างละเลยความจริงหรือเปล่า คงต้องฝากหาคำตอบด้วยตัวเองว่า กรณีนี้นายชาดละเลยความจริงหรือเปล่า
แล้วความจริงคืออะไร ในขณะที่กล้องที่ถ่ายได้ก็ถ่ายได้แค่ภาพลูกจ้างยกพัดลม ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพัดลมตัวนั้นจริงๆ ตอนที่ภาพถ่ายไม่เห็น ในความคิดผม ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้ครับ
อยู่ตรงที่เมื่อไม่เราสามารถหาความจริงได้ว่าพัดลมตัวนั้นหายไปไหน เราจะคิดจะมองเรื่องนี้อย่างไร
ฟังภาคสองของนิทานเรื่องนี้ต่อดูครับ บางทีคุณแฟนพันธุ์แท้ฯ อาจจะได้คำตอบ
หลังจากนั้นอีกปีหนึ่ง นายลบกับนายชาดก็แยกร้านกัน ทั้งสองเปิดเป็นร้านตัวแทนจำหน่ายแอร์คอนดิชั่นร้านหนึ่งชื่อวัลลภคลายร้อน อีกร้านหนึ่งชื่อ กาชาดชุ่มฉ่ำ (ความคิดสร้างสรรค์อาจจะน้อยกว่าชื่อร้านเมื่อครั้งที่ร่วมหุ้นกันเล็กน้อย) ทั้งสองร้านขายแอร์ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน และมีฝีมือการติดตั้งเหมือนกัน
จะมีต่างกันก็แต่ใบเรียกเก็บเงินของทั้งสองร้าน ลองดูการมองโลกของทั้งสองคนสิครับ
ร้านวัลลภคลายร้อน เขียนว่า ราคาแอร์พร้อมติดตั้ง ราคายืนไว้ ณ วันวางบิล 30,000 บาทถ้วน แต่ถ้าชำระเงินข้ามเดือนไป ต้องคิดเพิ่ม 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 31,500 บาท
ร้านกาชาดชุ่มฉ่ำ เขียนไว้ว่า ราคาแอร์พร้อมติดตั้ง ราคายืนไว้ ณ วันวางบิล 31,500 บาท แต่หากชำระภายในเดือนนี้ ทางร้านจะลดให้ทันที 1,500 บาท เหลือเพียง 30,000 บาท
ใครจะตอบผมได้ว่าความจริงคืออะไร การได้รับเงิน 30,000 บาทนั้นคือความจริงใช่ไหม
ไม่ว่าคำตอบของท่านผู้อ่านแต่ละคนจะออกมาเป็นอย่างไร ผมขอเคารพความคิดไว้แค่นั้นครับ ไม่ขอต่อความยาวสาวความยืด แต่เชื่อผมอย่างหนึ่งเถอะว่า ร้านกาชาดชุ่มฉ่ำนั้นจะเก็บเงินลูกค้าได้ก่อน และครบทุกรายอย่างแน่นอน ประภาส ชลศรานนท์
0 Comments:
Post a Comment
<< Home